หนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฐฐาจาโร) พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2495 ได้พูดถึงเรื่องแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ ไว้ว่า “ในชั้นเดิม เจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำริจะให้ช่างทางบ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี ทำแม่พิมพ์ ภายหลังบรรดาผู้ที่เคารพนับถือและพวกสานุศิษย์ที่สามารถทำแม่พิมพ์ได้ ได้ทำถวาย ... และว่าในตอนแรกใช้หินมีดโกนแกะเป็นแม่พิมพ์ ต่อมาจึงใช้หินอ่อนบ้าง ไม้แก่นบ้าง”

(บ้านช่างหล่อเดิมเรียกบ้านชาวเหนือ ด้วยเป็นที่อยู่อาศัยของพวกชาวเหนือ ซึ่งเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” สันนิษฐานว่าองค์ความรู้ในการหล่อพระของช่างบ้านช่างหล่อ น่าจะตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่มีความชำนาญในการหล่อพระพุทธรูปโบราณของชาวล้านนาในอดีต และโดยปกติแล้วช่างหล่อจะมีความชำนาญในการแกะแม่พิมพ์ด้วยเช่นกัน)

แม่พิมพ์ที่ใช้สร้างสมเด็จวัดระฆังฯนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำมาจากวัสดุประเภทใด แต่มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะสร้างจากหินสบู่ (มีลักษณะคล้ายหินอ่อนเช่นกัน) หรือวัสดุชนิดอื่นที่สามารถทำให้พิมพ์พระมีความคมชัด เช่น หินมีดโกน เพียงแต่ว่าหินสบู่โดยธรรมชาติจะสามารถแกะเป็นลวดลายได้ง่ายกว่าหินมีดโกนซึ่งเปราะกว่า อาจจะมีแม่พิมพ์ที่ทำจากไม้เช่นกัน เช่นไม้แก่น ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือของพระมหาเฮงฯ ข้างต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีไม้อีกบางชนิด เช่นไม้โมก ที่ถูกนำมาใช้ในการแกะแม่พิมพ์พระโดยเฉพาะในยุคสมัยปัจจุบันด้วยเช่นกัน

จากผลงานการค้นคว้าของ รศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นำเสนอในกิจกรรมบรรยายพิเศษ เรื่อง “การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องด้วยแม่พิมพ์หินสบู่ช่างหล่อหลวงรัชกาลที่ 4-5” ของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2561 พบว่าแม่พิมพ์ที่สร้างจากหินสบู่เป็นแม่พิมพ์ที่นิยมใช้ในการสร้างงานศิลปกรรมของช่างหลวงในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 จากการพบหลักฐานแม่พิมพ์หินสบู่จำนวนมากที่อยู่ในการครอบครองของทายาทช่างหลวงบางท่านในกรมช่างสิบหมู่ ซึ่งมีการแกะสลักเป็นลวดลายที่มีความวิจิตรงดงาม มีความละเอียดประณีตสูงยากที่จะหาช่างในยุคปัจจุบันทำได้เทียบเท่า แม่พิมพ์หินสบู่เหล่านี้ส่วนหนึ่งได้ถูกใช้ในการสร้างเครื่องทรงเพื่อประดับพระพุทธรูปทรงเครื่องในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 ซึ่งถูกนำไปประดิษฐานไว้ตามวัดสำคัญในกรุงเทพมหานคร เช่น วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร องค์ความรู้เหล่านี้ยังพบว่าได้มีการตกทอดจากรุ่นถึงรุ่นมาสู่ตระกูลบ้านช่างหล่อซึ่งมีถิ่นฐานใกล้เคียงกับวัดระฆังฯ อีกด้วย (มีความเป็นไปได้ว่าองค์ความรู้ในการสร้างเครื่องทรงเพื่อประดับพระพุทธรูปดังกล่าวน่าจะได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่มีความชำนาญในงานพุทธศิลปกรรมยุคล้านนาเช่นเดียวกัน)

...

ในการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯนั้น ข้อมูลชุดประวัติศาสตร์พระสมเด็จฯ จากตำราของตรียัมปวาย ทำให้อนุมานได้ว่าในช่วงแรกเป็นการแกะแม่พิมพ์โดยช่างฝีมือชาวบ้าน (เช่น ช่างบ้านช่างหล่อ ซึ่งบางคนอาจจะทำงานให้กับกรมช่างสิบหมู่ด้วยเช่นกัน) โดยน่าจะเป็นช่างที่แกะชุดแม่พิมพ์ของวัดเกศไชโยส่วนใหญ่ และน่าจะเป็นแม่พิมพ์ที่ทำจากไม้ ในช่วงต่อมาจึงมีช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) เข้ามาช่วย โดยน่าจะเข้ามาช่วยปรับปรุงรูปแบบพิมพ์ทรงเดิมของวัดเกศไชโยให้งดงามขึ้น รวมทั้งมีการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯยุคแรก (หนังสือพระเครื่องประยุกต์ของตรียัมปวายบอกว่า มี อาทิเช่น พิมพ์ทรงสังฆาฏิ พิมพ์ทรงเส้นด้าย เป็นต้น ซึ่งน่าจะมีการแกะแม่พิมพ์ซ้ำอีกครั้งในภายหลังโดยกลุ่มช่างทองหลวง) และในท้ายที่สุดจึงมีการแกะแม่พิมพ์พระที่เป็นกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม (และน่าจะรวมถึงพิมพ์ทรง 7 ชั้นนิยมของวัดเกศไชโยด้วย) โดยกลุ่มช่างทองหลวง (ตรียัมปวายบอกว่าเป็นช่างกลุ่มหลวงวิจารณ์เจียรนัย) โดยเมื่อพิจารณาจากเส้นสายลายเซ็นในองค์พระส่วนใหญ่แล้วพบว่าแม่พิมพ์ของทั้งสองวัดนี้เชื่อว่าสร้างโดยช่างชุดเดียวกัน โดยแม่พิมพ์กลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดระฆังฯ นั้นน่าจะสร้างจากหินสบู่ (แม่พิมพ์บางส่วนน่าจะนำมากดพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมด้วย) ส่วนแม่พิมพ์กลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานของวัดบางขุนพรหม ที่สร้างหลังจากนั้น ส่วนใหญ่น่าจะสร้างจากไม้ ซึ่ง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ได้เคยนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับความแตกต่างของพระที่สร้างจากแม่พิมพ์ทั้งสองแบบนี้ไปบ้างแล้ว มีร่องรอยที่เหมือนเส้นผมบังภูเขาอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถสังเกตได้ไม่ยากก็คือ พระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครูแทบทุกองค์นั้น พื้นผนังองค์พระจะเป็นแผ่นระนาบอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดจากการกดเนื้อพระลงบนแม่พิมพ์ที่สร้างจากหินสบู่ ที่มักจะเป็นการแกะแม่พิมพ์วาดลวดลายลงบนแผ่นระนาบเดิมๆ ของหินสบู่นั่นเอง (อาจมีการปาดแต่งผิวระนาบบ้างแต่ไม่มากนัก)

แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้นอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นแม่พิมพ์ที่มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบนามธรรม คือมีลักษณะของการแกะที่เป็นลายเส้นโดยตลอด ซึ่งนับว่าเป็นของใหม่ในสมัยนั้น แม่พิมพ์พระในสมัยก่อนหน้านั้นมักจะมีลักษณะเหมือนของจริง คือมีรายละเอียดต่างๆ ในองค์พระ รวมถึงหน้าตา ที่เลียนแบบของจริง เช่น พระรอด พระซุ้มกอ พระผงสุพรรณ เป็นต้น (อ้างอิง หนังสือพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ปี 2556 - สุรเดช ลิ้มพานิช และคณะ)

ในขั้นตอนของการแกะแม่พิมพ์นั้น ช่างจะใช้ปลายก้านเหล็กซึ่งน่าจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นผิวที่ต้องการ โดยช่างจะค่อยๆขูดปาดแต่งร่องลวดลายลงบนพื้นผิวของวัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์ เช่น หินสบู่ที่เปียกน้ำ โดยในระหว่างทำ ช่างจะใช้ก้อนขี้ผึ้งกดลงบนแม่พิมพ์และถอดออกมาดูเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของร่องรอยที่เกิดจากการแกะ แล้วจึงค่อยๆแต่งผิวในร่องให้มีรายละเอียดเพิ่มเติมจนได้ลักษณะตามที่ต้องการ พื้นผิวด้านในสุดของร่องเป็นบริเวณที่สำคัญมากเพราะจะเป็นด้านของผิวด้านบนสุดของพระสมเด็จวัดระฆังฯ เมื่อมีการกดพิมพ์ออกมา จึงต้องมีการเซาะแต่งขัดให้มีความเรียบเนียนละเอียดเป็นพิเศษ

ช่างแกะแม่พิมพ์ควรที่จะต้องมีความรู้ด้านช่างหล่อ ซึ่งเป็นอีกสาขาหนึ่งของช่างสิบหมู่ด้วย เพราะในการกดเนื้อวัตถุดิบประทับลงในแม่พิมพ์นั้น ร่องลวดลาย รวมถึงพื้นผนังต่างๆ ในแม่พิมพ์จะต้องมีลักษณะการเทตัวที่เหมาะสมเพื่อให้เนื้อวัตถุดิบที่มีลักษณะคล้ายดินเหนียวสามารถวิ่งอัดรีดตัวตามแรงกดเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์ทุกซอกทุกมุม เป็นลักษณะเดียวกับการไหลของน้ำโลหะในกรรมวิธีการหล่อ ลักษณะของแนวร่องลวดลายที่เกิดจากการลงเหล็กเพื่อแกะขึ้นรูปนั้น ก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวให้สังเกตเห็นได้จากองค์พระที่สร้างจากแม่พิมพ์นั้นเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างจากพระที่สร้างเลียนแบบโดยการถอดพิมพ์

...

สำหรับการสร้างแม่พิมพ์จากวัสดุชนิดอื่นนั้น อาจจะมีขั้นตอนวิธีการแตกต่างกันไปบ้าง แต่จะมีหลักการสร้างที่ใกล้เคียงกัน เช่น ถ้าทำจากแม่พิมพ์หินลับมีดหรือแม่พิมพ์ไม้ ก็จะต้องมีการใช้วัตถุที่มีความคมแข็ง เซาะแต่งให้เกิดร่องลวดลายลงบนเนื้อไม้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ลักษณะของพื้นผิวของบริเวณผนังนั้นมักจะปรากฏรอยเสี้ยนไม้ปรากฏให้เห็น อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อธิบายถึงลักษณะของเสี้ยนไม้ที่เกิดจากแม่พิมพ์ไม้ว่าสังเกตได้ชัดเจนในพระผงสุพรรณ ที่จะเห็นเป็นเส้นน้ำตกบนผนังองค์พระไล่จากด้านบนลงมาด้านล่าง

บทส่งท้าย

การสร้างพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต นอกจากจะเป็นงานศิลปกรรมแบบปูนปั้นแล้ว ยังมีการใช้องค์ความรู้ของ ช่างแกะ และอาจรวมถึงช่างสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ช่างหล่อ ช่างสลัก ช่างเขียน ช่างรัก ฯลฯ ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้พระสมเด็จฯ ที่ได้ออกมานั้นมีความโดดเด่นงดงามสมกับที่มีการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่อง

ประเด็นสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาก็คือ ตัวช่างที่เป็นผู้แกะสลักแม่พิมพ์ในการสร้างพระสมเด็จฯ ที่มีความโดดเด่นงดงามนั้น ควรจะต้องเป็นช่างที่มีความชำนาญมากระดับเดียวกับช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง งานที่ออกมาจึงเป็นงานศิลปกรรมที่มีความละเอียดประณีต ทำให้พระสมเด็จฯมีคุณค่าทางพุทธศิลป์และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านของพิมพ์ทรง หรือที่เรียกว่ามี “ลายเซ็นพระสมเด็จฯ” แสดงถึงความเป็นพระแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั่นเอง

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซมแบบอกใหญ่ องค์ครูที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง สภาพผ่านการใช้พอสมควร วรรณะขาวอมเหลือง เนื้อหนึกนุ่ม ไม่ปรากฏการแตกลายงา มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็นหลายจุด โดยเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่บริเวณข้างพระกรรณซ้ายองค์พระ มีรอยรูพรุนเข็ม พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีคราบสีน้ำตาลคล้ายน้ำมันตังอิ้วปรากฏเป็นหย่อมทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ ตัดขอบพอดีกรอบบังคับแม่พิมพ์ ด้านหลังเป็นแบบหลังกระดานผสมสังขยา มีรอยปูไต่ (ขอบปริกระเทาะ) เล็กน้อย ที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดี เพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

...

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม