ความเดิมจากตอนที่ 1 ที่เราพาไปทำความรู้จักว่าโรคกระดูกพรุนคืออะไร มีสาเหตุจากอะไรบ้าง ในตอนที่ 2 นี้จะพูดถึงโรคและภาวะที่ทำให้สูญเสียมวลกระดูกหรือกระดูกพรุนมากขึ้นกว่าปกติ
โรคหรือภาวะที่ทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูก
โรคที่มีความผิดปกติของต่อมไร้ท่อหรือฮอร์โมน
1. โรคเบาหวาน
พบความชุกของโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 (เป็นเบาหวานที่พบในเด็กหรือคนอายุน้อย และต้องใช้อินซูลินฉีดตลอดชีวิต) และชนิดที่ 2 (เป็นเบาหวานที่พบในคนผู้ใหญ่ที่มีลักษณะอ้วน มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน และมักเริ่มต้นด้วยยากินได้) มากกว่าคนที่ไม่เป็นโรคเบาหวานอย่างชัดเจน
2. ภาวะฮอร์โมนต่อมพาราไทรอยด์สูง
ต่อมพาราไทรอยด์ เป็นอวัยวะเล็ก ๆ มีทั้งหมด 4 ต่อม โดยที่อยู่ติดกับด้านหลังของต่อมไทรอยด์ 2 ข้าง ซึ่งพบข้างละ 2 ต่อม คือ อยู่เหนือและล่างต่อต่อมไทรอยด์
ในภาวะปกติ เมื่อร่างกายมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง ต่อมพาราไทรอยด์จะสร้างสารที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูก และเพิ่มการดูดกลับแคลเซียมที่ท่อไต เพื่อเพิ่มระดับแคลเซียมในเลือดให้สูงขึ้นจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ให้มีแคลเซียมในร่างกายต่ำจนเกินไป
แต่หากฮอร์โมนพาราไทรอยด์ถูกสร้างมากจนเกินไปตลอดเวลา เช่น มีเนื้องอกที่ต่อมพาราไทรอยด์ แคลเซียมจะถูกสลายออกจากกระดูกตลอดเวลาไปเกินกว่าที่ร่างกายจะควบคุมได้ ดังนั้นจะพบภาวะแคลเซียมสูงในเลือด และส่งผลให้เกิดโรคกระดูกพรุนตามมาได้
...
มีรายงานพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 1 ราย ต่อประชากรทั่วไป 1,000 ราย มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป เช่น เป็นไทรอยด์เป็นพิษ หรือรับประทานฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ไม่ว่าจะซื้อมารับประทานเองเพื่อใช้ลดน้ำหนัก หรือตามแพทย์สั่ง เพื่อเป็นการให้ฮอร์โมนทดแทนในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไทรอยด์ต่ำ ผู้ป่วยในกรณีหลังนี้มักได้รับฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนตลอดชีวิต และมีการปรับขนาดยาให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะโดยแพทย์
เมื่อมีการปรับยาฮอร์โมนไทรอยด์ในขนาดที่พอเหมาะแล้ว จะไม่เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคกระดูกพรุนแต่อย่างใด แต่หากมีการใช้ยาขนาดมากเกินความจำเป็นหรือใช้ผิดข้อบ่งชี้ เช่น ใช้เพื่อลดน้ำหนักดังที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้วข้างต้น ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่สูงจนเกินความจำเป็น จะส่งผลให้เกิดกระดูกบางหรือพรุนได้
3. โรคคุชชิง
เป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อที่พบไม่บ่อย เกิดจากมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในเลือดสูง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับยากลูโคคอร์ติคอยด์เป็นระยะเวลานาน หรือจากที่ผู้ป่วยมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง หรือต่อมหมวกไต ทำให้ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลออกมามากเกินความต้องการของร่างกาย และไม่สามารถควบคุมการสร้างให้พอเหมาะตามกลไกปกติได้
อาการที่แสดงออก ได้แก่ ใบหน้าอ้วน กลมและแดง พุงยื่นป่อง แต่แขนขากลับลีบ ผิวหนังมีรอยแตกสีชมพูม่วงคล้ำ มักพบที่หน้าท้องหรือต้นขา บริเวณต้นคอด้านหลังอาจมีไขมันพอกหนาคล้ายหนอก ผิวหนังบางจนเห็นเส้นเลือดได้ชัด เส้นเลือดบนผิวหนังเปราะและแตกง่าย เห็นเป็นรอยช้ำสีม่วง มีสิวและขนอ่อนขึ้นบนใบหน้า กล้ามเนื้อส่วนโคนแขนโคนขาอ่อนแรง มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ หรือขาดหายไปเลย ซึมเศร้า ความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวานง่าย แผลหายช้า ติดเชื้อง่าย และที่สำคัญส่งผลให้กระดูกพรุนหรือกระดูกหักได้ด้วย
4. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
บ่งบอกว่ามีระดับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนต่ำไม่เพียงพอ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ออกกำลังกายอย่างหนักมาก (มักพบในนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก) ลดน้ำหนักมากจนผอมเกินไป โรคทางจิตเวช เช่น โรคอะนอเร็กเซีย โรคบูลิเมีย มีโรคประจำตัวเจ็บป่วยเรื้อรัง โรคที่รังไข่หรือต่อมใต้สมองทำงานผิดปกติ หรือมีภาวะหมดประจำเดือนเร็วก่อนอายุ 45 ปี เมื่อฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนลดลง จะส่งผลให้มวลกระดูกลดลง และคุณภาพของกระดูกไม่ดี ไม่แข็งแรง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและเกิดกระดูกหักตามมาได้
5. ผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนลดลง
มักพบในผู้ชายที่ผอมมากเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นประจำ มีโรคประจำตัวป่วยเรื้อรัง มีโรคที่ลูกอัณฑะทั้ง 2 ข้าง โรคที่ต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมองทำงานผิดปกติ ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ดังนั้นเมื่อฮอร์โมนดังกล่าวลดลงมาก ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักได้
โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบโลหิตวิทยา
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง การรักษามะเร็งกลุ่มนี้ต้องใช้ยาเคมีบำบัด หรือกลูโคคอร์ติคอยด์ ซึ่งจะส่งผลทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูก ทั้งทางตรงและทางอ้อม
...
2. โรคมะเร็งที่เกิดจากมีเซลล์เม็ดเลือดชนิดพลาสมาเซลล์ถูกผลิตออกมามากเกินไป (โรคมัลลิเพิล มัยอิโลมา) พลาสมาเซลล์ที่ผิดปกติ จะถูกผลิตออกมาจากไขกระดูกและก่อตัวเป็นเนื้องอกในกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เนื้องอกเหล่านี้จะกีดกันไม่ให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดที่ดีอย่างเพียงพอ หนึ่งในอาการแสดงที่พบบ่อย คือ ปวดกระดูก อาจเป็นบริเวณหลังหรือซี่โครงและกระดูกหักง่าย
3. โรคธาลัสซีเมีย พบปัญหากระดูกบางได้บ่อย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการซีดระดับรุนแรง เนื่องจากไขกระดูกถูกกระตุ้นให้ขยายขนาด เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ทำให้เนื้อกระดูกบางลงและหักได้ง่าย
โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง
เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอ็มเอส มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคในกลุ่มดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หกล้มง่าย ทั้งยังพบภาวะขาดวิตามินดีได้บ่อยในผู้ป่วยดังกล่าว ปัจจัยทั้งหมดเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
ความเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ
1. โรคซึมเศร้า พบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้น อาจเนื่องจากมีการใช้ยาต้านซึมเศร้า ชนิดเอสเอสอาร์ไอ (SSRIs) ซึ่งเป็นยาที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน
...
2. ความแปรปรวนเกี่ยวกับการกิน เช่น อะนอเร็กเซีย หรือโรคเบื่ออาหาร เหตุจิตใจ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ฮอร์โมนเพศหญิงลดลง
โรคมะเร็ง
1. มะเร็งเต้านม เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยากลุ่ม Aromatase inhibitors หรือได้รับเคมีบำบัด ซึ่งยากลุ่มนี้จะทำให้ระดับฮอร์โมนเพศหญิงลดลง จึงทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูก และเกิดโรคกระดูกพรุนตามมาได้
2. มะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับยากดการสร้างฮอร์โมนเพศชาย เมื่อมีฮอร์โมนเพศชายหรือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนตามมา
โรคหรือภาวะอื่น ๆ เช่น
- โรคเอดส์
- โรคถุงลมโป่งพอง
- นักกีฬาหญิงที่ออกกำลังกายหนักจนประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคตับที่รุนแรง เช่น โรคตับแข็งเหตุน้ำดี
- ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจากได้รับยากดภูมิหรือต้านภูมิ ซึ่งส่งผลให้มวลกระดูกลดลง
- ภาวะขาดสารอาหาร
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
ยาและโรคประจำตัวบางชนิด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงนี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ยาตามความจำเป็น และเข้ารับการรักษาโรคอย่างเหมาะสม
แหล่งข้อมูล: รศ. พญ.หทัยกาญจน์ นิมิตพงษ์ สาขาวิชาโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล