
นักลงทุนรายย่อยเสียหนัก สูญเงินไปกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังเข้าลงทุนในบริษัทที่ถือคริปโตเคอร์เรนซีในงบการเงิน หรือที่เรียกว่า Crypto Treasury ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Strategy (หรือชื่อเดิม MicroStrategy) ของ Michael Saylor และ Metaplanet
ตามรายงานของสำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การสูญเงินนี้มีสาเหตุหลักมาจากการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินมูลค่าจริงของบิตคอยน์ที่บริษัทถือครองอยู่ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถขายหุ้นได้ในราคาสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินจริง (Share Premium) จนเวลาผ่านไป เมื่อราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ร่วงลงอย่างหนัก ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยหลายคนต้องติดดอย
บริษัท Crypto Treasury คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีโมเดลการดำเนินธุรกิจโดยเน้นการถือครองคริปโตเคอร์เรนซีจำนวนมากไว้ในงบดุล เพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัท โดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทเหล่านี้ แทบไม่ได้มีธุรกิจหลักอื่น ๆ มากนัก แต่จะระดมทุนจากผู้ถือหุ้นเพื่อนำเงินไปซื้อเหรียญเพิ่ม หวังให้ราคาคริปโตฯ ที่ถืออยู่ปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเติบโตตามไปด้วย
โมเดลนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมาจาก Michael Saylor ผู้ประกอบการและซีอีโอของบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อ Strategy ที่ได้ตัดสินใจนำเงินกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐของบริษัทไปซื้อบิตคอยน์และบันทึกไว้ในงบดุล และยังคงเดินหน้าโมเดลนี้มาต่อเนื่องจนขึ้นแท่นเป็นบริษัทมหาชนที่ถือบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดในโลก
ซึ่งโมเดลนี้ได้รับผลตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน จนทำให้ราคาหุ้นของ Strategy พุ่งขึ้นกว่า 3,734% นับตั้งแต่เริ่มซื้อบิตคอยน์ และทำสถิติสูงสุดที่ 473.83 ดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤศจิกายน 2024 และหลังจากนั้นเป็นต้นมาบริษัทอีกหลายแห่งที่เดิมทีไม่เคยเกี่ยวข้องกับโลกคริปโตฯ มาก่อน ทั้งบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ หรือแม้แต่ร้านทำเล็บก็เริ่มหันมาทำตามแนวทางของ Strategy
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกกว่า 100 แห่งในตลาดหุ้นอเมริกาเหนือ โดยถือเหรียญหลากหลายขึ้น ทั้ง Ether, Solana และ BNB อีกทั้งยังมีโมเดลนี้ไปปรากฏในตลาดต่างประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น Metaplanet ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ทำหน้าที่ติดตามมูลค่าบิตคอยน์โดยเฉพาะ
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ความร้อนแรงของบริษัท Crypto Treasury ก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Business Insider รายงานไทม์ไลน์ไว้ว่า
ตามรายงานจาก Cointelegraph ระบุว่าปัจจุบันนี้มีบริษัทจดทะเบียนแล้ว 172 แห่งทั่วโลกที่นำกลยุทธ์ถือบิตคอยน์ในงบการเงินมาใช้ และเฉพาะไตรมาสล่าสุดเพียงไตรมาสเดียวก็มีบริษัทใหม่เพิ่มขึ้นถึง 48 แห่ง
อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้จำนวนมากเป็นเพียงหุ้นเพนนี (Penny Stock) ที่แทบไม่มีธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาก่อนเลย ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับนักลงทุน ตามคำเตือนของ Chris Brodersen กรรมการผู้จัดการจาก Eisner Advisory Group เขากล่าวว่า “มีหลายบริษัทที่มองว่าคริปโตฯ คือทางรอดสุดท้าย เพื่อกู้วิกฤติของตัวเอง”
Chris Brodersen เปรียบเทียบว่าปรากฏการณ์นี้คล้ายยุคดอทคอมบูม ในช่วงปี 2000 ที่บริษัทเล็ก ๆ พอประกาศทำธุรกิจออนไลน์ หุ้นก็พุ่งขึ้นทันที แต่สุดท้ายก็ร่วงฮวบ เผาเงินนักลงทุนที่อยากเข้าให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีใหม่โดยไม่ดูพื้นฐาน พร้อมกับเตือนนักลงทุนให้ประเมินแผนธุรกิจจริงและเหตุผลการถือคริปโตฯ ของแต่ละบริษัทให้ดี ไม่ใช่แค่ดูว่าถือเหรียญอะไร
ด้าน Andrew Duca ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มภาษีคริปโตฯ Awaken Tax ก็มีความเห็นว่าฟองสบู่ในตลาดนี้ได้ก่อตัวขึ้นเรียบร้อยแล้ว เขากล่าวว่า “บริษัทส่วนใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า Digital Asset Treasury จริง ๆ แล้วไม่ได้ทำธุรกิจบนบล็อกเชนเลย พวกเขาแค่ซื้อเหรียญแล้วเรียกมันว่า ‘กลยุทธ์’ และนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของฟองสบู่”
10X Research บริษัทวิเคราะห์จากสิงคโปร์ ได้ออกรายงานชื่อว่า “After the Magic: How Bitcoin Treasury Firms Must Evolve Beyond NAV Illusions” ด้านในมีการระบุว่า “ยุคแห่งมายาการเงินของบริษัทที่เป็น Bitcoin Treasury Companies กำลังสิ้นสุดลงแล้ว”
พร้อมกับมีรายละเอียดด้วยว่า นักลงทุนรายย่อย “ขาดทุนจริงราว 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” และผู้ถือหุ้นใหม่ “ต้องจ่ายค่าหุ้นแพงเกินจริงไปราว 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” เพื่อที่จะได้เข้าถึงบิตคอยน์ในทางอ้อม
รายงานนี้ชี้ด้วยว่า ต่อจากนี้บริษัท Crypto Treasury จำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่ จากการใช้มูลค่าหุ้นที่แพงเกินจริงเพื่อซื้อบิตคอยน์ มาสู่การดำเนินงานแบบกองทุนบริหารสินทรัพย์ที่เน้น Arbitrage-Driven Asset Managers แทน ซึ่งแม้อาจทำให้โอกาสได้กำไรจากราคาบิตคอยน์ลดลง แต่จะช่วยสร้างโมเดลธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าในระยะยาว
ที่มา: Bloomberg [1][2], Business Insider
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney